เมนู

11. สัจจวิภังคสูตร



[698] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขต
เมืองพาราณสี. สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว.
[699] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศธรรมจักรอัน ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือ
เทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใคร ๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ ได้ทรง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4
อริยสัจ 4 เหล่าไหน คือ ทรงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้ง่ายซึ่งทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธ-
คามินีปฏิปทาอริยสัจ ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศธรรมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ
หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใคร ๆ ในโลก
ยังไม่เคยประกาศ ได้ทรง บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 นี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ จงคบสารี
บุตรและโมคคัลลานะเถิด ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วม
ประพฤติพรหมจรรย์ สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด โมคคัลลานะเปรียบ
เหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำโสดาปัตติผล โมคคัล-
ลานะ ย่อมแนะนำในผลชั้นสูง สารีบุตรพอที่จะบอก แสดงบัญญัติ แต่งตั้ง

เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 ได้โดยพิสดาร. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้พระสุคต ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร.
[700] ขณะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
พระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเหล่า
นั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนท่าน
ผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประกาศธรรมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ
หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือพรหม หรือใคร ๆ ในโลก ยัง
ไม่เคยประกาศ ได้ทรงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 อริยสัจ 4 เหล่าไหน คือ ทรงบอก แสดง บัญญัติ
แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
[701] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือ
ชาติก็เป็นทุกข์ ชราก็เป็นทุกข์ มรณะก็เป็นทุกข์ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ก็เป็นทุกข์ ความไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ โดย
ประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ได้แก่ ความเกิด ความ
เกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่ง
ขันธ์ ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะ ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ๆ
นี้เรียกว่า ชาติ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ชราเป็นไฉน ได้แก่ ความแก่ ความ
คร่ำคร่า ความเป็นผู้มีฟันหัก มีผมหงอก มีหนังย่น ความเสื่อมอายุ ความ
หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ๆ นี้เรียกว่า ชรา

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มรณะเป็นไฉน ได้แก่ ความจุติ ความ
เคลื่อนไปความแตก ความอันตรธาน ความตาย ความมรณะ การทำกาละ
ความสลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่าง ความขาดชีวิตนทรีย์ จากหมู่สัตว์
นั้น ๆ ของสัตว์ทั้งหลายนั้น ๆ นี้เรียกว่า มรณะ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็โสกะเป็นไฉน ได้แก่ ความโศก
ความเศร้า ความเหี่ยวแห้งใจ ความเที่ยวแห้งภายใน ความเที่ยวแห้งรอบใน
ภายใน ของบุคคลผู้ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์
อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่า โสกะ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ปริเทวะเป็นไฉน ได้แก่ ความรำพัน
ความร่ำไร้ กิริยารำพัน กิริยาร่ำไร ลักษณะที่รำพัน ลักษณะที่ร่ำไร ของ
บุคคลที่ประจวบกับความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่าง
หนึ่งถูกต้องแล้ว นี้เรียกว่า ปริเทวะ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขะเป็นไฉน ได้แก่ ความลำบากกาย
ความไม่สบายกาย ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัส
ทางกาย นี้เรียกว่า ทุกขะ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็โทมนัสเป็นไฉน ได้แก่ ความลำบากใจ
ความไม่สบายใจ ความเสวยอารมณ์ที่ลำบาก ที่ไม่สบาย อันเกิดแต่สัมผัส
ทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อุปายาสเป็นไฉน ได้แก่ ความคับใจ
ความแค้นใจ ลักษณะที่คับใจ ลักษณะที่แค้นใจ ของบุคคลผู้ประจวบกับ
ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว
นี้ เรียกว่า อุปายาส.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์เป็น
ไฉน ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้น
อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องเกิดเป็นธรรมดา และความเกิดอย่าพึงมาถึง
เราเลย อันข้อนี้ ใคร ๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า
ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความแก่เป็นธรรมดา เกิด
ความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องแก่เป็นธรรมดา และ
ความแก่อย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใคร ๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่
ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความ
เจ็บไข้เป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้อง
เจ็บไข้เป็นธรรมดา และความเจ็บไข้อย่าพึงมาถึงเราเลย อันข้อนี้ ใคร ๆ
จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่ได้สมปรารถนา
เป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความตายเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่าง
นี้ว่า โอหนอ ขอเราอย่าต้องตายเป็นธรรมดา และความตายอย่าพึงมาถึงเรา
เลย อันข้อนี้ ใคร ๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า
ความไม่ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ
โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ
ขอเราอย่าต้องมีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสเป็นธรรมดา
และโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสอย่าพึงมาถึงเราเลย อัน
ข้อนี้ ใคร ๆ จะสำเร็จตามความปรารถนาไม่ได้เลย แม้นี้ก็ชื่อว่า ความไม่
ได้สมปรารถนาเป็นทุกข์.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็โดยประมวลแล้ว อุปาทานขันธ์ 5 เป็น
ทุกข์ เป็นไฉน คืออย่างนี้ อุปาทานขันธ์ คือรูป คือเวทนา คือสัญญา

คือสังขาร คือวิญญาณ เหล่านั้น โดยประมวลแล้ว ชื่อว่า อุปาทานขันธ์ 5
เป็นทุกข์.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุกขอริยสัจ.
[702] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน
ได้แก่ตัณหาที่นำไปสู่ภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความ
ยินดี อันมีความเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา
วิภวตัณหา นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ.
[703] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน
ได้แก่ ความดับด้วยอำนาจคลายกำหนัดไม่มีส่วนเหลือ ความสละ ความสลัด
คืน ความปล่อย ความไม่มีอาลัย ซึ่งตัณหานั้นนั่นแล นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธ
อริยสัจ.
[704] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เป็นไฉน ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 อันประเสริฐนี้แล ซึ่งมีดังนี้ (1) สัมมาทิฐิ
(2) สัมมาสังกัปปะ (3) สัมมาวาจา (4) สัมมากัมมันตะ (5) สัมมาอาชีวะ
(6) สัมมาวายามะ (7) สัมมาสติ (8) สัมมาสมาธิ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ได้แก่ ความรู้ใน
ทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุก นิโรธคามินี
ปฏิปทา นี้เรียกว่าสัมมาทิฐิ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ได้แก่ความดำริ
ในเนกขัมมะ ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้
เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน ได้แก่ เจตนา
เป็นเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ จากพูดส่อเสียด จากพูดคำหยาบ จากเจรจา.
เพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน ได้แก่ เจตนา
เป็นเครื่องงดเว้น จากปาณาติบาต จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร นี้
เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน คือ อริยสาวก
ในธรรมวินัยนี้ ละมิจฉาชีพแล้ว สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ นี้เรียกว่า
สัมมาอาชีวะ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาวายามะเป็นไฉน คือ ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ ย่อมให้เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต
ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น 1 เพื่อละอกุศล
ธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้วเสีย 1 เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้น.
เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฝือ เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ และบริบูรณ์ของกุศล-
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว 1 นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติ กำจัด
อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตะ. เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความ
เพียร รู้สึกตัว มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ นี้เรียกว่า
สัมมาสติ.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน คือ ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌาน . . . อยู่ เป็นผู้วางเฉย เพราะ
หน่ายปีติ มีสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน. . .อยู่
เข้าจตุตถฌาน . . .อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคานินีปฏิปทาอริยสัจ.
[705] ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้า ได้ทรงประกาศธรรมจักรอันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ป่าอิสิปตน
มิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี อันสมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร
หรือพรหม หรือใคร ๆ ในโลก ยังไม่เคยประกาศ ได้แก่ ทรงบอก ทรง
แสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่ายซึ่ง
อริยสัจ 4 นี้.
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิต
ของท่านพระสารีบุตรแล.
จบ สัจจวิภังคสูตร ที่ 11

อรรถกถาสัจจวิภังคสูตร



สัจจวิภังคสูตร เริมต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาจิกฺขนา ความว่า นี้ชื่อว่า ทุกข์
อริยสัจ ฯลฯ นี้ชื่อว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. แม้ในบทที่เหลือ
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อนึ่ง ในที่นี้ การตั้งสัจจะมีทุกขสัจเป็นต้น ชื่อว่า การ
บัญญัติ. ก็บุคคลทั้งอาสนะ เรียกว่า บัญญัติอาสนะ. บทว่า ปฏฺฐปนา คือ
การบัญญัติ. บทว่า วิวรณา คือ การทำเปิดเผย. บทว่า วิภชฺนา คือ
ทำการจำแนก. บทว่า อุตฺตานีกมฺมํ ได้แก่ทำให้ปรากฏ. บทว่า อนุคฺครหกา
ความว่า อนุเคราะห์ด้วยการสงเคราะห์ แม้ 2 อย่าง คือ อามิสสงเคราะห์
ธรรมสงเคราะห์. บทว่า ชเนตา คือ มารดาผู้ให้เกิด. บทว่า อาปาเทตา
คือ ผู้เลี้ยง ทรงแสดงว่า โมคคัลลานะดุจมารดาผู้เลี้ยง. ก็มารดาผู้ให้เกิด.
งดเว้นของเค็มและของเปรี้ยวเป็นต้น ตลอด 9 เดือนหรือ 10 เดือน ทรง
ทารกไว้ในท้อง ให้มารดาเลี้ยง คือ แม่นม รับทารกที่ออกจากท้อง. มารดานั้น
เลี้ยงทารกด้วยน้ำนม และเนยสด เป็นต้นให้เจริญ. ทารกนั้นอาศัยความเจริญ
เที่ยวไปตามสบาย. พระสารีบุตรเถระก็เป็นอย่างนั้น สังเคราะห์บรรพชิต
ทั้งหลาย ในสำนักของตน หรือของภิกษุเหล่าอื่น ด้วยการสงเคราะห์ 2 อย่าง
ปฏิบัติบรรพชิตผู้ไข้ ชักชวนในกัมมัฏฐาน รู้ความเป็นพระโสดาบันแล้ว
จำเดิมแต่กาลบรรพชิตเหล่านั้นออกจากภัยในอบายทั้งหลาย บัดนี้ ก็เป็นผู้ไม่
สนใจในบรรพชิตเหล่านั้นว่า พวกเขาจักยังมรรคเบื้องสูงให้เกิดขึ้นด้วยการ
กระทำของบุรุษ เฉพาะตนแล้ว กล่าวสั่งสอนบรรพชิตใหม่ ๆ เหล่าอื่น. ฝ่าย
พระมหาโมคคัลลานะ สงเคราะห์บรรพชิตทั้งหลายในสำนักของตน หรือของ